ประโยชน์ของรายได้ประชาชาติ
- ในด้านการวิเคราะห์ภาวะเศรษฐกิจของประเทศ ระดับรายได้ประชาชาติจะเป็นเครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจของประเทศว่ารุ่งเรืองหรือตกต่ำ
- ใช้เปรียบเทียบฐานะทางเศรษฐกิจ ตัวเลขรายได้ประชาชาติจะชี้ให้เห็นฐานะทางเศรษฐกิจของประเทศเมื่อเทียบเคียงกับประเทศอื่น และเป็นช่องทางให้ศึกษาภาวการณ์ว่ารัฐบาลจะเร่งรัดพัฒนาเศรษฐกิจในสาขาใดจึงจะเจริญก้าวหน้าทัดเทียมกับประเทศที่พัฒนาแล้ว
- ใช้เปรียบเทียบฐานะทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะเวลาต่างๆกัน เช่น เปรียบเทียบ ฐานะทางเศรษฐกิจของประเทศเมื่อปี พ.ศ. 2530 และ 2537 ฯลฯ
- ใช้กำหนดนโยบายเศรษฐกิจของประเทศ ตัวเลขรายได้ประชาชาติจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการพิจารณากำหนดนโยบายหรือวางแผนเศรษฐกิจของประเทศ
จากการที่ระบบเศรษฐกิจมีการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการและปัจจัยการผลิตต่างๆ โดยใช้เงินเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน ดังนั้นการทำความเข้าใจวิธีการคำนวณรายได้ประชาชาติสามารถทำได้โดยการพิจารณาจากกระแสการหมุนเวียนของธุรกรรมทางเศรษฐกิจหรือวงจรเศรษฐกิจ โดยถ้าเราพิจารณาระบบเศรษฐกิจอย่างง่ายๆซึ่งประกอบด้วยหน่วยครัวเรือนและหน่วยธุรกิจ และสมมติว่าระบบเศรษฐกิจเป็นระบบเศรษฐกิจแบบปิด ไม่มีการติดต่อทางเศรษฐกิจกับต่างประเทศและไม่มีรัฐบาล ครัวเรือนจะใช้รายได้ทั้งหมดจ่ายไปในการซื้อสินค้าและบริการ (ไม่มีการออม) และหน่วยธุรกิจนำเงินที่ได้จากการขายสินค้าและบริการจ่ายเป็นค่าปัจจัยการผลิตทั้งหมด
จากภาพ 7.1 ครัวเรือนผู้เป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต ซึ่งได้แก่ ที่ดิน แรงงาน ทุน และการประกอบการ จะนำปัจจัยการผลิตเหล่านี้ไปขายให้กับหน่วยธุรกิจ โดยครัวเรือนจะได้รับผลตอบแทนในรูปของค่าเช่า ค่าจ้าง ดอกเบี้ย และกำไร ตามลำดับ หน่วยธุรกิจเมื่อได้ปัจจัยมาแล้วก็นำไปผลิตเป็นสินค้าและบริการแล้วขายต่อให้กับครัวเรือน ครัวเรือนจะต้องจ่ายเงินค่าซื้อสินค้าและบริการให้แก่หน่วยธุรกิจ หมุนเวียนเช่นนี้เรื่อยไป
กล่าวได้ว่ารายได้ของครัวเรือนก็คือรายจ่ายของหน่วยธุรกิจ และรายจ่ายของครัวเรือนก็คือรายได้ของหน่วยธุรกิจ ซึ่งทั้งรายได้และรายจ่ายจะมีค่าเท่ากับมูลค่าของสินค้าและบริการทั้งหมดที่ระบบเศรษฐกิจนั้นผลิตขึ้นมาได้ ดังนั้นการคำนวณรายได้ประชาชาติไม่ว่าจะคำนวณทางด้านรายได้หรือรายจ่าย หรือมูลค่าของสินค้าและบริการ จะได้ผลลัพธ์ออกมาเท่ากัน เพราะฉะนั้นเราสามารถคำนวณรายได้ประชาชาติได้ 3 วิธีด้วยกัน คือ
- การคำนวณรายได้ประชาชาติทางด้านผลผลิต (product approach)
- การคำนวณรายได้ประชาชาติทางด้านรายได้ (income approach)
- การคำนวณรายได้ประชาชาติทางด้านรายจ่าย (expenditure approach)
การคำนวณรายได้ประชาชาติทางด้านผลผลิต
ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 วิธี คือ
- คำนวณจากการรวมมูลค่าของสินค้าและบริการขั้นสุดท้าย (final products) ที่ระบบเศรษฐกิจนั้นผลิตได้ในรอบระยะเวลาหนึ่ง สินค้าและบริการขั้นสุดท้ายหมายถึงสินค้าและบริการที่ผ่านกระบวนการผลิตต่างๆซึ่งพร้อมที่จะนำไปอุปโภคบริโภคโดยตรง เช่น ข้าวเปลือกที่อยู่ในโรงสีจะถือว่าเป็นสินค้าหรือบริการขั้นกลาง (intermediate products) ส่วนข้าวสารที่ผู้บริโภคซื้อไปรับประทานเป็นสินค้าหรือบริการขั้นสุดท้าย อย่างไรก็ตาม การคำนวณรายได้ประชาชาติตามวิธีนี้ค่อนข้างยุ่งยากในทางปฏิบัติเนื่องจากเกิดปัญหาในเรื่องของการนับซ้ำ ทั้งนี้ เพราะเป็นการยากที่จะแยกได้อย่างชัดเจนว่าสินค้าใดเป็นสินค้าหรือบริการขั้นกลางหรือขั้นสุดท้าย ดังนั้นตัวเลขที่คำนวณได้จึงสูงกว่าตัวเลขที่แท้จริง ตัวอย่างเช่น ผู้ผลิตรายที่หนึ่งปลูกไผ่มูลค่ารวม 10 ล้านบาท รายที่สองนำไผ่มาแปรรูปเป็นกระดาษแล้วขายต่อให้โรงงานทำสมุดในมูลค่า 15 ล้านบาท และโรงงานนำกระดาษมาทำเป็นสมุดแล้วจึงขายให้ผู้บริโภคคิดเป็นมูลค่ารวม 20 ล้านบาท ถ้าเรารวมมูลค่าของสินค้าและบริการที่ผู้ผลิตทั้งสามรายผลิตขึ้นมาจะได้เท่ากับ 45 ล้านบาท จะเห็นได้ว่ามูลค่าดังกล่าวสูงกว่าที่ควรจะเป็นเนื่องจากมีการนับมูลค่าไผ่ซ้ำถึง 3 ครั้ง เพราะฉะนั้นการคำนวณที่ถูกต้องถ้าต้องการวัดมูลค่าของสินค้าหรือบริการที่ผลิตขึ้นมาได้จริงเราจะต้องวัดจากมูลค่าของสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายเท่านั้น ซึ่งจากตัวอย่างจะได้เท่ากับ 20 ล้านบาท
- คำนวณจากมูลค่าเพิ่มในการผลิตสินค้าและบริการแต่ละขั้น เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการนับซ้ำดังกล่าว เราสามารถคำนวณมูลค่าของสินค้าและบริการจากมูลค่าเพิ่ม (value added) ของสินค้าและบริการในแต่ละขั้นแทนได้ มูลค่าเพิ่ม หมายถึงมูลค่าของสินค้าและบริการที่เพิ่มขึ้นเมื่อผ่านการผลิตแต่ละขั้น นั่นคือ มูลค่าเพิ่มจะเป็นมูลค่าของสินค้าและบริการที่จำหน่ายออกจากหน่วยธุรกิจหักลบด้วยต้นทุนการผลิตทั้งหมดในขั้นตอนก่อนหน้า
จากตัวอย่างข้างต้น เราสามารถคำนวณมูลค่าของสินค้าและบริการที่ผลิตขึ้นมาได้ดังนี้
ในที่นี้ถือว่าไผ่และกระดาษเป็นสินค้าขั้นกลาง ส่วนสมุดเป็นสินค้าขั้นสุดท้าย เพราะฉะนั้นไม่ว่าเราจะวัดมูลค่าของสินค้าและบริการจากสินค้าขั้นสุดท้ายที่เดียวหรือจากผลรวมของมูลค่าเพิ่มในแต่ละขั้น ตั้งแต่การผลิตไผ่จนถึงสมุดก็จะได้มูลค่าเท่ากันคือ 20 ล้านบาท ดังนั้นสรุปได้ว่าการวัดมูลค่าของสินค้าและบริการที่ระบบเศรษฐกิจผลิตขึ้นมาได้ เราสามารถคำนวณจากมูลค่าของสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายเพียงขั้นเดียว หรือมูลค่าเพิ่มของสินค้าและบริการที่ผลิตขึ้นในแต่ละขั้นรวมกันก็ได้
การคำนวณรายได้ประชาชาติทางด้านผลผลิตเป็นการรวมมูลค่าตามราคาตลาดของสินค้าและบริการทั้งหมดที่ระบบเศรษฐกิจผลิตขึ้นมาได้รวมกันทุกประเภทของสินค้าและบริการ ดังรายละเอียดตามตารางต่อไปนี้
ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 วิธี คือ
- คำนวณจากการรวมมูลค่าของสินค้าและบริการขั้นสุดท้าย (final products) ที่ระบบเศรษฐกิจนั้นผลิตได้ในรอบระยะเวลาหนึ่ง สินค้าและบริการขั้นสุดท้ายหมายถึงสินค้าและบริการที่ผ่านกระบวนการผลิตต่างๆซึ่งพร้อมที่จะนำไปอุปโภคบริโภคโดยตรง เช่น ข้าวเปลือกที่อยู่ในโรงสีจะถือว่าเป็นสินค้าหรือบริการขั้นกลาง (intermediate products) ส่วนข้าวสารที่ผู้บริโภคซื้อไปรับประทานเป็นสินค้าหรือบริการขั้นสุดท้าย อย่างไรก็ตาม การคำนวณรายได้ประชาชาติตามวิธีนี้ค่อนข้างยุ่งยากในทางปฏิบัติเนื่องจากเกิดปัญหาในเรื่องของการนับซ้ำ ทั้งนี้ เพราะเป็นการยากที่จะแยกได้อย่างชัดเจนว่าสินค้าใดเป็นสินค้าหรือบริการขั้นกลางหรือขั้นสุดท้าย ดังนั้นตัวเลขที่คำนวณได้จึงสูงกว่าตัวเลขที่แท้จริง ตัวอย่างเช่น ผู้ผลิตรายที่หนึ่งปลูกไผ่มูลค่ารวม 10 ล้านบาท รายที่สองนำไผ่มาแปรรูปเป็นกระดาษแล้วขายต่อให้โรงงานทำสมุดในมูลค่า 15 ล้านบาท และโรงงานนำกระดาษมาทำเป็นสมุดแล้วจึงขายให้ผู้บริโภคคิดเป็นมูลค่ารวม 20 ล้านบาท ถ้าเรารวมมูลค่าของสินค้าและบริการที่ผู้ผลิตทั้งสามรายผลิตขึ้นมาจะได้เท่ากับ 45 ล้านบาท จะเห็นได้ว่ามูลค่าดังกล่าวสูงกว่าที่ควรจะเป็นเนื่องจากมีการนับมูลค่าไผ่ซ้ำถึง 3 ครั้ง เพราะฉะนั้นการคำนวณที่ถูกต้องถ้าต้องการวัดมูลค่าของสินค้าหรือบริการที่ผลิตขึ้นมาได้จริงเราจะต้องวัดจากมูลค่าของสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายเท่านั้น ซึ่งจากตัวอย่างจะได้เท่ากับ 20 ล้านบาท
- คำนวณจากมูลค่าเพิ่มในการผลิตสินค้าและบริการแต่ละขั้น เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการนับซ้ำดังกล่าว เราสามารถคำนวณมูลค่าของสินค้าและบริการจากมูลค่าเพิ่ม (value added) ของสินค้าและบริการในแต่ละขั้นแทนได้ มูลค่าเพิ่ม หมายถึงมูลค่าของสินค้าและบริการที่เพิ่มขึ้นเมื่อผ่านการผลิตแต่ละขั้น นั่นคือ มูลค่าเพิ่มจะเป็นมูลค่าของสินค้าและบริการที่จำหน่ายออกจากหน่วยธุรกิจหักลบด้วยต้นทุนการผลิตทั้งหมดในขั้นตอนก่อนหน้า
จากตัวอย่างข้างต้น เราสามารถคำนวณมูลค่าของสินค้าและบริการที่ผลิตขึ้นมาได้ดังนี้
ในที่นี้ถือว่าไผ่และกระดาษเป็นสินค้าขั้นกลาง ส่วนสมุดเป็นสินค้าขั้นสุดท้าย เพราะฉะนั้นไม่ว่าเราจะวัดมูลค่าของสินค้าและบริการจากสินค้าขั้นสุดท้ายที่เดียวหรือจากผลรวมของมูลค่าเพิ่มในแต่ละขั้น ตั้งแต่การผลิตไผ่จนถึงสมุดก็จะได้มูลค่าเท่ากันคือ 20 ล้านบาท ดังนั้นสรุปได้ว่าการวัดมูลค่าของสินค้าและบริการที่ระบบเศรษฐกิจผลิตขึ้นมาได้ เราสามารถคำนวณจากมูลค่าของสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายเพียงขั้นเดียว หรือมูลค่าเพิ่มของสินค้าและบริการที่ผลิตขึ้นในแต่ละขั้นรวมกันก็ได้
การคำนวณรายได้ประชาชาติทางด้านผลผลิตเป็นการรวมมูลค่าตามราคาตลาดของสินค้าและบริการทั้งหมดที่ระบบเศรษฐกิจผลิตขึ้นมาได้รวมกันทุกประเภทของสินค้าและบริการ ดังรายละเอียดตามตารางต่อไปนี้